ks kurve pod กับการเริ่มต้นใช้งาน สูบอย่างไรให้ได้กลิ่นชัด

สำหรับใครที่เริ่มต้นใช้งาน ks kurve pod และอยากใช้งานให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด สูบอย่างไรให้กลิ่นชัด มีคำแนะนำในการสูบไม่อยากที่สามารถทำตามได้ง่าย ๆ ทุกคนแน่นอนอย่างที่ทราบกันดีว่าคนไม่มีประสบการณ์ก็สามารถสูบได้ แต่หัวใจสำคัญคือตัวเครื่องการจะสูบให้ได้กลิ่นที่ดีที่สุดนั้นต้องมั่นใจก่อนว่าแบตเตอรี่ทำงานได้อย่างเต็มที่ สัญญาณไฟทุกอย่างทำงานได้อย่างปกติ และทำให้มั่นใจว่าหัวน้ำยาได้เชื่อมต่อกับตัวพอตอย่างแน่นหนาแล้วเพราะมิเช่นอาจจะทำให้รสชาติไม่ชัดหรือรสชาติไม่ดีเท่าที่ควร

แนะนำน้ำยาต่าง ๆ จาก ks kurve pod ที่คุณไม่ควรพลาด

สำหรับน้ำยาของบุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ ks kurve pod นี้ เรียกได้ว่าผลิตออกมาเป็นจำนวนมากเลยทีเดียวทั้งของรุ่น Kurve และรุ่น MAX ซึ่งทั้งสองรุ่นสามารถใช้ทดแทนกันได้ ตัวเลือกของน้ำยายี่ห้อนี้จึงเรียกได้ว่ามีมากกว่ายี่ห้ออื่นเป็นพิเศษ รวมถึงความสามารถของตัวเครื่องที่เมื่อใช้งานร่วมกับตัวน้ำยาที่ผลิตมาเฉพาะรุ่นแล้วจะทำให้คุณใช้น้ำยาในการสูบที่น้อยลง และใช้งานแต่ละหัวได้นานขึ้นและยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของตัวเครื่องให้นานขึ้นได้อีกด้วย

4 รสชาติแนะนำสำหรับผู้ใช้งาน ks kurve pod

ปริมาณของน้ำยารุ่นนี้มาพร้อมกับความสดชื่นบรรจุไว้ที่ 2.1 ml ถือว่าเป็นปริมาณที่มากกว่ามาตรฐานของพอตหัวเปลี่ยนทั่วไปเพราะว่าปกติแล้ว ยี่ห้ออื่นจะให้มาแค่ 1.7 – 2 ml เท่านั้น แต่ยี่ห้อนี้ถือว่าให้มาค่อนข้างมากทีเดียว แต่ไม่ต้องห่วงหากต้องการเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ทันทีเหมือนกัน หรือจะกลับมาใช้งานใหม่ก็สามารถนำหัวกลับมาต่อได้เหมือนเดิม เพราะคิดไว้เป็นอย่างดีแล้วว่าการใช้งานของผู้ใช้ต้องการแบบใดบ้าง สำหรับวันนี้ทางเราจะมีกลิ่นอะไรมาแนะนำบ้าง ลองมาดูกัน

1. ลิ้นจี่ สดชื่นหวาน ๆ

กลิ่นลิ้นจี่เป็นหนึ่งกลิ่นที่ได้รับความนิยมทันเมื่อเปิดตัวออกมา และยังเป็นกลิ่นที่ขายดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยความหอมหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ สามารถสร้างความสดชื่นให้กับเหล่าผู้สูบได้เป็นอย่างดี และยังมีความเย็นที่อยู่ในระดับสาม มาในระดับที่พอดีสำหรับการสูบในผู้นิยมสูบบุหรี่ไฟฟ้าทั่วไป ถือเป็นกลิ่นที่คุณไม่ควรพลาดในการทดลองอย่างยิ่งเพราะว่าขายดีอันดับหนึ่งมาเป็นเวลานาน และอาจจะกลายเป็นกลิ่นใหม่ที่คุณชอบใช้ประจำเลยก็ได้

2. สับปะรด เปรี้ยวหวานสะใจ

อีกหนึ่งรสชาติและกลิ่นที่มาพร้อมความเปรี้ยวอมหวานคล้ายกับลิ้นจี่ แต่กลิ่นสับปะรดแน่นอนว่ามีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้วทำให้ผู้ที่ชอบสับปะรดโดยเฉพาะจะได้ลิ้มลองรสชาติของกลิ่นผลไม้ที่คุณชอบผ่านการสูบควันจากพอตไฟฟ้าเข้าปอดได้อย่างเต็มที่ พร้อมปริมาณนิโคตินที่มาอย่างพอดีอยู่ที่ 3% ด้วยกัน แนะนำเลยสำหรับใครก็ตามที่ชอบกลิ่นผลไม้อยู่แล้วกลิ่นสับปะรดเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ขายดีและผู้ใช้งานบุหรี่ไฟฟ้าหลาย ๆ คนควรจะได้ทดลองดูสักครั้งแล้วจะติดใจ

3. สดชื่นไปกับ โคคา โคล่า

ที่สุดแห่งการสูบและสดชื่นที่สุดไปกับการสูบกลิ่นโค้กที่เรา ๆ คุ้นเคยกันดี แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นเพศไหน วันไหนก็ต้องถูกใจอย่างแน่นอน นอกจากจะทำให้ผู้สูบได้รับสุนทรียภาพและนิโคตินที่เพียงพอในการสูบบุหรี่แล้วคุณยังจะได้รับความเย็นระดับห้า ที่เรียกได้ว่าไม่ต้องดื่มโค้กก็รู้สึกได้เลยว่ากลิ่นนี้และโค้กที่ใช่ แนะนำเลยสำหรับใครที่กำลังมองหากลิ่นดี ๆ ไว้ทดลอง กลิ่นนี้ติดใจแน่นอน

4. กลิ่นเลมอนที่ไม่ว่าจะใครก็ต้องชอบ

กลิ่นมะนาวที่เน้นรสเปรี้ยวเป็นรสชาติหลัก ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบรสชาตินี้มากเป็นพิเศษสามารถสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น และรสชาตินี้ไม่มีความหวานแต่จะเน้นไปที่ความขมและความเย็น รวมถึงรสชาติที่ถึงใจกับความเป็นมะนาวที่แท้จริงโดยไม่มีรสชาติอื่น ๆ มาผสม อาจจะให้ความแตกต่างในการใช้งานสำหรับผู้ที่เคยลองรสชาติมะนาวผสมอยู่บ้าง แต่รับรองว่าถ้าได้ลองแล้วอาจจะติดใจก็ได้

หลากหลายกลิ่นขายดีของแบรนด์นี้ที่มั่นใจได้ถึงคุณภาพ

ไม่เพียงแค่ความหลากหลายของกลิ่นเท่านั้น การใช้งานพอตบุหรี่ไฟฟ้าแบรนด์ KS ยังให้ความมั่นใจในการใช้งานหลาย ๆ ด้านให้กับผู้ใช้งานอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น

  • ประกันในการซื้อไปใช้งาน ที่สามารถเคลมได้อย่างรวดเร็ว
  • ประสิทธิภาพที่รับรองเลยว่าสูบได้อย่างไม่มีติดขัดแน่นอน
  • ไม่มีสารอันตรายเป็นส่วนประกอบ มาพร้อมคำเตือนในการใช้งานที่ชัดเจน
  • มี QR code สามารถตรวจสอบของปลอมของจริงได้ง่าย

แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกประสิทธิภาพแล้วกับ ks kurve pod พอตเดียวในไทยที่คนใช้เยอะที่สุด

ไม่ต้องโฆษณาอะไรมากเลย เพราะว่าพอตแบรนด์นี้ได้รับความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากเหล่านักสูบบุหรี่ไฟฟ้าชาวไทยมาเป็นเวลานานอยู่แล้ว เพียงแค่ได้ยินชื่อก็รับรู้ได้ถึงคุณภาพและประสิทธิภาพที่คุณจะได้รับจากการใช้งานอย่างเป็นประจำ และที่สำคัญยังหาซื้อได้ง่าย สั่งซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้เลย ใช้เวลาจัดส่งเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น มาพร้อมกับประกันสินค้าหากเกิดความเสียหาย phpthailand แนะนำว่า ซื้อที่ kardinalstickpodth เท่านั้น

ครั้งนี้มาดูการเรียกใช้ function ตามค่าตัวแปรกันครับ
เรียกมันว่า “Variable functions”
หรือผมขอเรียกมันว่า “Function จากตัวแปร”
Variable functions

อันนี้คงจะเข้าใจกันง่ายๆครับ
นั่นคือ การเรียกใช้ function ตัวหนึ่งขึ้นมา โดยที่ชื่อของ function นั่นเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามค่าของตัวแปรครับ
ลองดูตัวอย่างจากข้างล่างเลยครับ จะเข้าใจง่ายกว่า

<?php
function myfunc($msg) {
echo $msg;
}

$func_name = "myfunc";
$func_name("Hello, this is a test");
?>

เริ่มจากเราสร้าง function ชื่อ myfunc ขึ้นมา เพื่อแสดงค่า $msg ที่ส่งไป
จากนั้น เราไม่ต้องการเรียกใช้งาน myfunc() นี้โดยตรง
แต่เราจะเรียกโดยกำหนดตัวแปรลงไป $func_name เป็นชื่อของ function ครับ
เวลาเราต้องการใช้งานก็ตามรูปแบบด้านบนเลยครับ ก็จะเป็นการเรียกใช้งาน myfunc() นั่นเองครับ

การประยุกต์ใช้งาน
เช่น
เวลาที่เรากำหนดการทำงานบางอย่าง เปลี่ยนแปลงไปตามค่านั้นๆ
แทนที่เราจะใช้ if(), switch()
เราก็ใช้ชื่อค่าตัวแปรนั้นได้เลย ช่วยให้ประหยัด code ไปได้เยอะครับ

สมมติ
วันนี้วันอะไร คำตอบคือ “Monday”
เราก็ให้มันทำงานของ function Monday()
ซึ่งวันอื่นๆ เราก็อาจจะทำงานรูปแบบต่างกัน
ซึ่งตรงนี้จะกำหนดชื่อ function ตามชื่อตัวแปรเท่านั้น

ถ้าเป็นรูปแบบเดิมอาจจะถูกเขียนแบบนี้

<?php
if($date=="Monday"){
Monday();
}elseif($date=="Sunday"){
Sunday();
}elseif(..............){
..............
}

?>

หรือรูปแบบที่สอง

<?php
switch($date){
case Monday:
Monday();
case Sunday:
Sunday();
}
..............
?>

จะเห็นว่ารูปแบบเดิมๆที่เคยใช้กันทำให้ code มีความยาวกว่ามาก
ซึ่งหากใช้แบบนี้แล้วจะช่วยลดให้โปรแกรมเล็กลงด้วยครับ

คราวที่แล้วเราพูดถึงเรื่องการใช้ function แบบที่ส่งค่าไปหลายๆค่าได้
ครั้งนี้เรามาดูเรื่องเกี่ยวกับการใช้งานตัวแปรแบบขึ้นสูงกันบ้างครับ
เราเรียกตัวแปรชนิดนี้ว่า Variable variables
หรือผมของเรียกมันว่า “ตัวแปร จากตัวแปร”
Variable variables

เคยไหมที่อยากเรียกใช้ตัวแปรสักค่า
โดยที่ชื่อตัวแปรนั้น มาจากผลลัพธ์ของอีกค่าหนึ่ง
ผมขอเรียกมันว่า “ตัวแปร จากตัวแปร”
งงไหมครับ….

ยกตัวอย่างง่ายๆครับ
สมมติว่า
ผมต้องการดึงข้อมูลออกมาว่า วันนี้วันอะไร
สมมติผลลัพธ์ออกมาว่า “Monday”
ผมก็จะเรียกใช้ตัวแปรที่ชื่อ $Monday อย่างนี้น่ะครับ

อาจจะยังไม่ค่อยไม่เข้าใจไม่เป็นไรครับ
มาดูตัวอย่างกันเลยดีกว่า

จาก Code PHP ข้างล่างเป็นการสรุปรูปแบบการใช้งานตัวแปรแบบนี้ได้ดีที่สุดครับ

<?php
$foo = "This is the variable foo";
$bar = "This is the variable bar";
$foobar = "This is the variable foobar";
$foo_name = "foo";
$bar_name = "bar";

echo $foo;
echo $bar;
echo ${$foo_name};
echo ${$bar_name};
echo ${$foo_name.$bar_name};
?>

ผลลัพธ์จะออกมาดังนี้ครับ

This is the variable foo
This is the variable bar
This is the variable foo
This is the variable bar
This is the variable foobar

ผลลัพธ์สองบรรทัดแรกเป็นการเรียกตัวแปรออกมาโดยตรงครับ
ส่วนสามบรรทัดหลังนี้ใช้การเรียกผ่านจากผลของค่าตัวแปรอีกชั้น

echo ${$foo_name};
บรรทัดนี้ จะดึงค่า $foo_name ซึ่งก็คือค่า foo นั่นเอง
ซึ่งเมื่อสรุปออกมาแล้ว บรรทัดนี้ จะดึงค่า
ตัวแปรที่ชื่อ $foo มานั่นเองครับ

อย่างนี้พอเข้าใจไหมครับ…

สำหรับการนำไปใช้งานได้หลากหลายรูปแบบครับ
เช่น
ผมต้องการเอาค่าตัวแปรอีกตัวมาเป้นตัวกำหนดการเรียกใช้ตัวแปรอีกตัวนึง
เช่นการเรียกชื่อวันขึ้นมาดังที่ยกตัวอย่างไปข้างต้นครับ

มารู้จักการใช้งาน function แบบที่ไม่ธรรมดากันดีไหม
หลายๆคนคงรู้จักใช้งาน function ที่สร้างขึ้นมาใช้เอง
เพราะสะดวก และช่วยให้การพัฒนาเวบไซต์ด้วย php ทำได้ง่ายขึ้น
และเวลาปรับแต่งแก้ไขอะไรก็ง่าย
แต่เคยรู้บ้างไหมว่า php นั้นมีลูกเล่นเกี่ยวกับ function ที่น่าสนใจ
และสามารถช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นกว่าแบบทั่วๆไป…
วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจในเรื่องของ function ของ php แบบขึ้นสูงกันครับ
โดยมีหลักการก็คือการทำให้ function ที่เรียกใช้งานนั้น เป็น function ที่ยืดหยุ่น และ dynamic มากขึ้น ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานพัฒนาเวบแอปพลิเคชั่นได้ดี

Variable-length argument lists
การเรียกใช้งาน function โดยทั่วไปจะมีการส่งค่าไปเวลาเรียกใช้งาน
ซึ่งเราสามารถดึงเอาความสามารถจากการเพิ่มจำนวนของตัวแปรที่ส่งไปด้วย
โดยมีตัวแปร function ที่ควรรู้ดังนี้

func_num_args(), func_get_arg(), and func_get_args()

The func_* function family

เราลองมาดูตัวอย่างของการใช้งาน function แบบที่ว่านี้กันครับจากตัวอย่างข้างล่างนะครับ
เราจะส่งค่าตัวแปรไปให้กับ function เพื่อทำการแสดงค่าออกมาโดยรูปแบบที่เราใช้จะเป็นอย่างที่เห็นครับ

<?php
function dynamic_args() {
for($i = 0 ; $i < func_num_args(); $i++) {
echo "Argument $i = ".func_get_arg($i)."";
}
}
dynamic_args("a", "b", "c", "d", "e");
?>

จะเห็นว่า โดยปกติที่เราใช้งาน function นั้น
เราจะต้องกำหนดว่า function จะต้องส่งค่าอะไรมาบ้างเพื่อทำการประมวลผล
ซึ่งก็จะกำหนดไว้ตายตัวเลยว่ามีกี่ตัวแปรแต่จากข้างต้น
ในตัว function ที่เราเขียนขึ้นนี้ ไม่ได้กำหนดลิมิตเอาไว้แต่เราสามารถส่งค่าตัวแปรไปให้ function นี้ทำงานได้อย่างไม่มีจำกัดเลยครับ
โดย
func_num_args() จะคืนค่าจำนวนตัวแปรที่ส่งมาทั้งหมดว่ามีเท่าไหร่
func_get_args() จะคืนค่าตัวแปรที่ส่งมา โดยเป็นข้อมูล array จะต้องเรียกใช้โดยกำหนดลำดับที่ของข้อมูลด้วย $i
ทำให้เราประหยัดเวลาอย่างมากเวลาที่ต้องใช้ให้โปรแกรมทำงานซ้ำๆกัน
โดยที่เราเองก็ไม่รู้ว่าต้องซ้ำกันเท่าไหร่โดยผมที่ออกมาจะแสดง อย่างนี้ครับ

Argument 0 = a
Argument 1 = b
Argument 2 = c
Argument 3 = d
Argument 4 = e

นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆครับในการใช้งาน function แบบที่ไม่ธรรมดา
ซึ่งอาจนำไปดัดแปลงใช้ในกรณีที่ต้องประมวลผลข้อมูลหลายชุด
โดยใช้คำสั่งเดียว ก็ใช้แบบนี้นับว่าสะดวกทีเดียวครับ
ยังมีการใช้งานขึ้นสูงอีกหลายแบบ ไว้คราวหน้ามาว่ากันใหม่ครับ…

มาดู Code ที่ใช้หาผลต่างของวันที่กันดีกว่า เอาไว้ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายดีครับ
จากตัวอย่างข้างล่าง สามารถ Copy นำไปใช้ได้เลยครับ

<?php
// returns <0, 0, >0 if date a< date b,date a== date b,date a > date b respectively.
function compareDate ($i_sFirstDate, $i_sSecondDate)
{
//Break the Date strings into seperate components
$arrFirstDate = explode ("/", $i_sFirstDate);
$arrSecondDate = explode ("/", $i_sSecondDate);

$intFirstDay = $arrFirstDate[0];
$intFirstMonth = $arrFirstDate[1];
$intFirstYear = $arrFirstDate[2];

$intSecondDay = $arrSecondDate[0];
$intSecondMonth = $arrSecondDate[1];
$intSecondYear = $arrSecondDate[2];


// Calculate the diference of the two dates and return the number of days.


$intDate1Jul = gregoriantojd($intFirstMonth, $intFirstDay, $intFirstYear);
$intDate2Jul = gregoriantojd($intSecondMonth, $intSecondDay, $intSecondYear);

return $intDate1Jul - $intDate2Jul;

}//end Compare Date
echo compareDate ("01/03/2003","01/02/2003");
?>

นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนให้ผู้ดูแลระบบทำการปรับปรุงเครื่องให้บริการฐานข้อมูล MySQL ให้ทันสมัย เนื่องจากมีการค้นพบข้อบกพร่องสำคัญทางความปลอดภัยที่สร้างความยุ่งยากจำนวนหนึ่ง

ข้อบกพร่องทั้งหลายสามารถส่งผลให้ผู้บุกรุกเข้ามาทำลายระบบฐานข้อมูลซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เปิดเผยซอสโค้ดที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายและไม่ได้ติดตั้ง patch และสามารถนำโค้ดอันตรายมาใส่ลงในเครื่องให้บริการ หรือแฮ็ก (hack) เข้าไปยังชื่อบัญชีต่างๆโดยไม่ต้องใส่รหัสผ่านได้เลย นี่เป็นคำเตือนจาก German firm e-matters


Stefan Esser ซึ่งอยู่ในโครงการ e-matters และ PHP.net ได้ให้ข้อมูลว่ามีช่องโหว่ 2 ชนิดที่อยู่ใน client library ของ MySQL (a heap buffer overflow bug และ glitch อื่นๆที่อนุญาตให้แคร็กเกอร์เขียน ‘\0’ ในตำแหน่งใดๆของหน่วยความจำได้) ซึ่งสามารถส่งผลให้แอพพลิเคชันเป็นอันตรายได้

เขาเตือนว่า “ช่องโหว่ทั้ง 2 ชนิดสามารถทำให้เกิดการโจมตีแบบ DoS (Denial of Service) หรือการเอ็กซีคิวต์ arbitray code ภายใต้สิ่งใดก็ตามที่เชื่อมต่อไปยัง libmysqlclient”

อย่างไรก็ตาม ได้มีการเผยแพร่วิธีแก้ไขออกมาให้ผู้ใช้งานรับทราบเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2545 คือผู้ดูแลระบบจะต้องปรับปรุง MySQL 3.23.54 ซึ่งมีช่องโหว่หลากหลายเหล่านี้โดยดาวน์โหลดได้ที่นี่

เนื่องจาก PHP ประกอบด้วยสำเนาของ libmysql ด้วย ดังนั้นหากมีการใช้งาน PHP ร่วมด้วย จะต้องมีการแก้ไขในส่วนนี้ด้วยโดยศึกษารายละเอียดได้ที่นี่

ชื่อ: Multiple vulns in MySQL

นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนให้ผู้ดูแลระบบทำการปรับปรุงเครื่องให้บริการฐานข้อมูล MySQL ให้ทันสมัย เนื่องจากมีการค้นพบข้อบกพร่องสำคัญทางความปลอดภัยที่สร้างความยุ่งยากจำนวนหนึ่ง

ข้อบกพร่องทั้งหลายสามารถส่งผลให้ผู้บุกรุกเข้ามาทำลายระบบฐานข้อมูลซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เปิดเผยซอสโค้ดที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายและไม่ได้ติดตั้ง patch และสามารถนำโค้ดอันตรายมาใส่ลงในเครื่องให้บริการ หรือแฮ็ก (hack) เข้าไปยังชื่อบัญชีต่างๆโดยไม่ต้องใส่รหัสผ่านได้เลย นี่เป็นคำเตือนจาก German firm e-matters
Stefan Esser ซึ่งอยู่ในโครงการ e-matters และ PHP.net ได้ให้ข้อมูลว่ามีช่องโหว่ 2 ชนิดที่อยู่ใน client library ของ MySQL (a heap buffer overflow bug และ glitch อื่นๆที่อนุญาตให้แคร็กเกอร์เขียน ‘\0’ ในตำแหน่งใดๆของหน่วยความจำได้) ซึ่งสามารถส่งผลให้แอพพลิเคชันเป็นอันตรายได้

เขาเตือนว่า “ช่องโหว่ทั้ง 2 ชนิดสามารถทำให้เกิดการโจมตีแบบ DoS (Denial of Service) หรือการเอ็กซีคิวต์ arbitray code ภายใต้สิ่งใดก็ตามที่เชื่อมต่อไปยัง libmysqlclient”

อย่างไรก็ตาม ได้มีการเผยแพร่วิธีแก้ไขออกมาให้ผู้ใช้งานรับทราบเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2545 คือผู้ดูแลระบบจะต้องปรับปรุง MySQL 3.23.54 ซึ่งมีช่องโหว่หลากหลายเหล่านี้โดยดาวน์โหลดได้ที่นี่

เนื่องจาก PHP ประกอบด้วยสำเนาของ libmysql ด้วย ดังนั้นหากมีการใช้งาน PHP ร่วมด้วย จะต้องมีการแก้ไขในส่วนนี้ด้วยโดยศึกษารายละเอียดได้ที่นี่

ทดลองส่งอีเมล์แบบสวยงามด้วยรูปแบบของ html กันดีกว่า หลายๆคนคงเคยรับ หรือส่งอีเมล์ในรูปแบบ html กันมาแล้ว จุดเด่นก็คือ สามารถใส่รูปหรือใส่สีสันของตัวอักษรได้สวยงาม ก็เหมือนกับเราออกแบบเวบไซต์นั่นแหล่ะ โดยเฉพาะใครที่ส่งเมล์ให้สมาชิกแล้ว ถ้าใช้แบบ text เดิมๆล่ะก็เชยแล้วและครับ

ให้เรา copy code นี้แล้วเอาไปรันครับ อย่าลืมแก้ Email ที่จะส่งออก และอีเมล์คนรับด้วยนะครับ

<?
$to = "[email protected]";
$subject = "Test Basic mail script for HTML content";
// your message is now in HTML
$msg = "
<HTML>
<HEAD>
<TITLE>Basic mail script for HTML content</TITLE>
</HEAD>
<BODY>
<H1 ALIGN=CENTER>Look how cool this is!</H1>
</BODY>
</HTML>
";
// add another header
$headers = "From: [email protected]\n";
$headers.= "Reply-To: [email protected]\n";
///ตัวนี้คือ สั่งกำหนดว่าอีเมล์ส่งมาในรูปแบบใด ในที่นี้เรากำหนดเป็นชนิด text/html
$headers.= "Content-Type: text/html; charset=tis-620";
mail("$to", "$subject", "$msg", "$headers");
echo "finished!";
?>

อันนี้เป็นเทคนิคง่ายให้เอาไปดัดแปลงกันดูนะครับ
นอกจากนี้คุณสามารถแนบรูปไปกับอีเมล์ได้ด้วย โดยใช้รูปแบบของ html นั่นเอง

<img src="http://www.yourdomain.com/images/image.gif">.

ข้อกำหนดของการส่งแบบนี้ก็คือ
ข้อความที่ส่งต้องอยู่ในรูป html tag
และต้องไม่ลืมใส่ content-type header เท่านั้นเองครับ

Note: Sending HTML-formatted e-mail